วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

วังเวียง 1 คืน


ที่ขนส่งจังหวัดหนองคาย ซื้อตั๋วรถข้ามไปลาว และวังเวียง


หลังจากที่ตอน 1 เตรียมตัวไปลาวไปแล้ว ต่อไปก็จะเป็นเรื่องเที่ยวในลาวล้วนๆ
     ที่ดอนเมืองขึ้นเครื่องบินเที่ยวเช้าไปลงอุดร แล้วนั่งรถตู้จากสนามบินไปที่ขนส่งจังหวัดหนองคาย เมื่อจัดการสอบถามเจ้าหน้าที่ที่สถานีขนส่งและซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเราก็นั่งรถบัสจากหนองคาย ผ่านตรวจคนเข้าเมืองไปลาว และตรงไปยังวังเวียง พวกเราตื่นเต้น  และชอบกันมากที่ได้เดินทางกันได้ด้วยตัวเองไม่ต้องไปทัวร์ และได้ลุ้นการเดินทางกันต่อไป

     ที่ขนส่งจังหวัดหนองคายนั้น จะไปไหนก็ซื้อตั๋วได้เลยมีตารางบอกชัดเจน หรือถามพนักงานได้ ไม่ยาก  ดูได้จากรูป
รถบัสที่เราจะนั่งไปคันนี้
ใบกรอกข้ามแดนไปลาว
บนรถบัส
 
เมื่อถึงชายแดนลาว ต้องเข้าแถวยื่นพาสปอร์ตพร้อมใบผ่านแดน
เข้าแถวกันเสียเวลาอยู่ที่ชายแดนพอสมควรถ้าจะเข้าไปวังเวียงต้องใช่พาส
ปอร์ต







บนรถบัสนั่งข้ามชายแดน


ข้ามแม่น้ำโขง
ชายแดนฝั่งลาวรถบัสจอดรอเวลาเราทำเรื่องผ่านแดน

 (เขียนเมื่อเดือนเมษายน 2556) รถบัสมาวังเวียงนี่  นั่งสบาย (สำคัญที่เบาะถ้าเบาะไม่ดีนั่งรถนานจะทำให้เจ็บก้น ซึ่งก่อนมาก็กลัวเจอปัญหานี้ ตกลงว่าเบาะดีนั่งสบาย) แอร์เย็นถึงไม่เย็นฉ่ำเหมือนบ้านเรา  แต่ก็ไม่ร้อน หลับเกือบตลอดทาง มีผู้โดยสารในรถไม่มากส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ทำให้นั่งไม่อึดอัด ไม่ต้องแย่งอากาศกันหายใจ

     มาเที่ยวลาวนี่ไม่ต้องกลัวเกิดอุบัติเหตุ ตามความรู้สึกของตัวเองนะ ด้วยเหตุว่า
ลาวรถไม่เยอะเหมือนบ้านเรา แทบจะไม่มีรถแซงกันไป แซงกันไปมา
ประเทศเขาจำกัดความเร็วรถ รถบัสที่เรานั่งมาน่าจะวิ่ง ประมาณ 80 ถึง 100 ขับไม่สวิ่งสวาย (บางครั้งยังแอบคิดไม่ได้ว่าขับช้าแบบนี้เมื่อไรจะถึง ฮ่า ฮ่า)
ทางที่วิ่งไปก็ใช่ได้นะลาดยางบ้างไม่ลาดยางบ้าง มีสองเลน เราไม่ได้ไปหน้าฝนจึงไม่เจอหลุมบ่ออะไร หรืออาจจะเป็นเพราะหลับเป็นส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยได้ดูทาง
นั่งไปซักพักเขาจะจอดให้เข้าห้องน้ำ ที่ร้านระหว่างทาง และซื้ออาหารรองท้องได้
ที่ร้านข้างทางนี่มีของดีที่เราชอบคือขนมปังแซนวิซฝรั่งเศส เป็นขนมปังแท่งยาวใส่ใส้และผัก
ไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่ขอบอกว่าอร่อย มีหลายใส้ เราเลือกใส้ทูน่า ผักที่ใส่ในแซนวิซสด
ชอบมาก เป็นอาหารมื้อแรกในลาว
เราออกจาก กทม.เจ็ดโมงเช้า ไปอุดร ไปหนองคาย ไปชายแดนลาว ต่อไปวังเวียง ถึงวังเวียงบ่ายสามโมง

สรุปว่าการนั่งรถมาวังเวียงไม่ลำบากอะไร รถวิ่งปลอยภัยดี รถบัสที่นั่งมาเบาะก็โอเคนั่งไม่เจ็บก้น
แอร์ไม่เสีย  และคนบนรถไม่เยอะมีที่ว่างนั่งไม่อึดอัด โอเคเลย
ของที่เตรียมเอาไปแล้วใช้บ่อยคือหมวกและหมอนรองคอ(อันนี้ตัวเองขาดไม่ได้ขอบอก เพราะหลับบ่อยเวลานั่งรถเคยหลับไม่แล้วไม่มีหมอนรอคอ คอเอียงไปเอียงมาคอเคล็ดเลย) แต่คนอื่นเขาไม่ใช่บางคนรำคาญที่มันเกะกะคอ

ที่วังเวียง

       สะพานนี้แหละเป็นตำนานแห่งวังเวียง สะพานข้ามแม่น้ำซอง ข้างหลังจะเห็นเป็นภูเขา
ติดต่อที่พักที่จองไว้แล้วจากเน็ท
กำลังเดินไปที่พักที่พักอยู่ริมแม่น้ำซอง

สาวลาวตัวจิ๋วน่ารัก
ที่พักเลือกเอาหนึ่งหลังอยู่ริมแม่น้ำซอง
สะพานข้ามแม่น้ำซองที่เขาฮอตฮิตมาถ่ายรูปกัน รูปนี้จะเห็นภูเขาชัด
วิวแม่น้ำในห้องพัก

ที่นั่งริมแม่น้ำ ร้านอาหารบริเวณที่พัก

ผู้คนที่มาวังเวียงจะต้องลงเล่นน้ำ

ทางเข้าที่พัก
มีเรือแคนนูให้พายเล่น
ไปเองต้องลากกระเป๋า
เก็บภาพ
แม่น้ำซองที่เราเดินผ่านมา
 บอลลูนให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์  แพงอ่ะ คนละ 2000 บาท เลยอดขึ้น

         มาถึงวังเวียงแล้ว การเดินทางของเราสมูท ราบรื่น มาถึงวังเวียงด้วยหัวใจพองโตเราได้มาแล้ว สิ่งที่เห็นจากรูป บัดนี้เราได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง
เราทะยอยลงจากรถ เดินลากกระเป๋ามายืนริมถนน แล้วยืนงงกันอยู่ซักพักไปทางไหนดี หนึ่งในกลุ่มซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ GPS ดูเส้นทางจากมือถือซักพัก ส่วนคนที่ไม่มี GPS ก็ใช้ปากให้เป็นประโยชน์ ถามชาวบ้าน โดยบอกชื่อที่พักไป  GPS บวกกับคำตอบของชาวบ้าน ทำให้เราตัดสินใจได้ว่าจะเดินไปทางไหน แต่ระหว่างเดินไป GPS จะนำทางได้ตรงกว่า

         โล่งอกที่ถึงจุดหมายปลายทาง ติดต่อห้องพักเรียบร้อย  การพูดคุยกับคนที่นี่ใช้ภาษาไทยได้เลยเขาฟังภาษาไทยรู้เรื่อง และภาษาลาวก็ฟังเข้าใจง่าย

ห้องพักเราเป็นบ้านไม้อยู่ริมแม่น้ำซอง  วิวดี  เมื่อเเดินไปที่พักเราต้องเดินขึ้น และข้ามสะพาน  แล้วเดินไปตามตลิ่งริมแม่น้ำซอง จากที่พักสามารถมองเห็นแม่น้ำซองทั้งสายไหลผ่านไป พร้อมทั้งมองเห็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวทำกัน เช่น เล่นน้ำ พายเรือ ถ่ายรูป ขึ้นบอลลูน อื่นๆให้ความรู้สึกดีทีเดียว
ที่ริมตลิ่งมีที่นั่งให้นั่งเล่นซึ่งเป็นที่นั่งของร้านอาหารที่ที่เราพัก  นับว่าเป็นที่พักที่ถูกใจเรา

นั่งอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำซองกำลังจะออกไปชมเมืองตอนกลางคืนและหาอะไรทาน

เมื่อเราเข้าห้องพัก เก็บกระเป๋า สำรวจความเรียบร้อยของห้อง ล้างหน้าล้างตาให้หายเหนื่อย เราก็ตกลงกันว่าจะลงเล่นน้ำที่แม่น้ำกัน 

ความสนุก สดชื่นมาเยือน ขณะที่เราเล่นน้ำในแม่น้ำโดยเฉพาะผู้เขียน เพราะปกติจะเป็นคนกลัวเล่นน้ำในแม่น้ำอาจจะเป็นเพราะหนึ่งว่ายน้ำไม่เก่ง สองไม่ชอบดินเลนที่เราเหยียบ  เพื่อนร่วมทริปช่วยกันชักชวนอย่างแน่วแน่ให้ลงไปเล่นด้วยกัน    ด้วยเหตุผลที่เขาบอกว่าน้ำแค่เอวไม่ลึกเลยดูซิเขายืนโชว์ให้ดู เลยตัดสินใจค่อยค่อยเดินตามลงแม่น้ำลงไป  เราค่อยๆเดินจากริมแม่น้ำเดินไปกลางแม่น้ำ

แล้วก็จริงอย่างเพื่อนทริปว่าแม่น้ำซองในช่วงวลาที่เราไปนี้แม่น้ำมีความลึกแค่เอว  พื้นแม่น้ำที่เราเหยียบเป็นหินก้อนขนาดกลางไม่แหลมเป็นหินก้อนกลมกลมที่เขานิยมใช้ตกแต่งสวน ไม่ใช่ดินเลน แต่ต้องใส่ร้องเท้ายางกันไว้เผื่อเจอของแหลมบาดเท้า

เแม่น้ำน้ำใส เชี่ยวเล็กน้อยความเชี่ยวของแม่น้ำขนาดนี้นี่เองทำให้เราสนุกกับการแช่น้ำ เราแช่น้ำอยู่กลางแม่น้ำ ที่เรียกว่าแช่น้ำเพราะว่ายน้ำไม่ได้ น้ำไม่ลึก เราเลยต้องนั่งเยียดขาแล้วพยุงตัวให้อยู่กับทีไม่ให้สายน้ำพัดพาเราไป เมื่อเวลาที่พยุงตัวไม่ดีสายน้ำจะพาเราขยับไปข้างหน้าเล็กน้อยเราก็หัวเราะกันครึกครื้น มีเรือแคนูนพายผ่านไป เราก็สนุก เพลิดเพลินกับการมองเรือเหล่าน้ัน ที่พยายามพายผ่านเพื่อหลีกเราไป  แช่น้ำเล่นอยู่ประมาณชั่วโมง ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะไม่มีใครเสียสละเวลาสนุกสนานในการแช่น้ำ เพื่อขึ้นไปถ่ายรูปให้เลย  ฮ่า ฮ่า กลัวอดเล่นน้ำ และกลัวกล้องเปียก



 สะพานข้ามแม่น้ำซอง เดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งจะเป็นที่พักอีกแห่งคนละฝั่งแม่น้ำ

ที่พักฝั่งวิวภูเขา
ที่เขาว่าเหมือนกุ้ยหลิน


หลังจากที่เราเล่นน้ำเป็นที่สดชื่นแล้ว ก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปท่องกลางคืน หาอาหารอร่อย อร่อยทาน
เดิน เดินไปก็มีความรู้สึกว่าบ้านเมืองเขาช่างเหมืิอนบ้านเราสมัยก่อน ที่วังเวียงนี่ตามความคิดของตัวเองคิดว่ามีส่วนคล้ายเมืองปาย และเชียงคาน
ส่วนที่เหมือนปายคือภาพที่เห็นในส่วนสะพานข้ามแม่น้ำซองคล้ายกับที่ปาย แล้วก็ร้านอาหารตรงที่มีร้านน่านั่งคล้ายๆกันเพียงแต่คนเดินเที่ยวน้อยกว่า ร้านอาหารน้อยกว่า
ส่วนที่เหมือนเชียงคานตรงที่เป็นชุมชนเล็กๆ เดินต้นถนนถึงสุดถนนก็เดินทั่วแล้ว แต่ถนนที่วังเวียงกว้างกว่าที่เขียงคาน ร้านขายของมีวางขายเรียงรายริมถนน

ทางที่เราเดินมาเป็นถนนกว้างพอควรมีบ้านชาวบ้านสองข้างทาง มีรถเข็นขายอาหารที่ชาวบ้านขายริมถนนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นขนมปัง และของปิ้ง ย่าง และมีเป็นร้านอาหารหลายร้านให้เลือก เราหิวกันแล้วจึงได้เลือกเข้าร้านอาหารร้านหนึ่ง ร้านใหญ่พอสมควร ซึ่งคาดคะเนว่าอร่อยจากจำนวนคนที่เขามาทาน  เลือกที่นั่งแบบนั่งพื้นมีเบาะรอง เหมือนร้านอาหารทางเหนือ สั่งอาหารตามชอบหลายอย่าง เช่น ส้มตำลาว ลาบลาว พิซซ่า คอหมูย่าง ข้าวผัดกุ้ง อะไรอีกจำไม่ได้แล้ว แต่อะไรที่ทานแล้วอร่อยเราก็สั่งมาอีกเช่นพิซซ่า ลาบลาว ทานกันไปคุยโม้กันไป เวลาไปเที่ยวสมาชิก
พิซซ่าถาดนี้ อร่อยจริง คงหาทานในไทยไม่ได้
เข้ากลุ่มกันได้ดีแล้ว มันก็สุขเกินบรรยาย  ตกลงว่ามื้อนี้เป็นที่อร่อยของทุกคน อิ่มหน่ำสำราญใจ

เมื่อเราออกมาจากร้านอาหาร ก็เดินต่อไปเรื่อยจนสุดถนน ซักพักก็หมดเขตบริเวณที่จะเดินเที่ยวได้แล้วที่รู้ว่าหมดเขตเพราะไม่มีบ้านเรือนต่อจากนี้และไม่มีไฟฟ้าที่ริมถนน
มีรถขายโรตีจอดอยู่มีคนยืนซื้อโรตี จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนมารู้อยู่แล้วว่าต้องมาลองชิมโรตีที่นี่ จึงชักชวนกันไปดูเขาทำโรตี แล้วเพื่อนในกลุ่มได้ซื้อมาลองชิมจำไม่ได้ว่าใส้อะไร
โรตีที่นี่ไม่เหมือนบ้านเราอันใหญ่กว่า ลองชิมไปคำรสชาติก็อร่อยนะ แต่ด้วยความที่อิ่มอาหารเลยทานไปคำเดียวก็ถือว่าได้มาทานโรตีที่วังเวียงแล้ว

ขากลับเดินกลับทางเดิม พอมืดได้ที่ก็เห็นว่ามีร้าน กิน ดื่มให้นั่งเล่นเรียงรายเพื่อบริการนักท่องเที่ยวตอนกลางคืน บางร้านเปิดเพลงดังก็คล้ายที่บ้านเรา ฝรั่งชอบมานั่งฟังเพลง ดื่ม กิน เพลินๆ กัน
ระหว่างทางเดินกลับ ได้สะดุดตาเข้ากับร้านขายขนมปัง ขนมเค้ก ร้านใหญ่ประมาณ สามคูหา มีที่นั่งหลายโต๊ะ เปิดเพลงฝรั่งพอได้ยินเมื่อยืนอยู่หน้าร้าน ถ้าเขาไปนั่งในร้านคงดังพอจะปลุกใจให้ครึกครืนได้
เราก็เกิดความอยากลองชิมขนมเค้กที่วังเวียง จึงได้ตกลงใจกันเลือกสั่งขนมเค้ก แล้ว
นั่งทานที่ร้าน


เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปร้านมาให้ดู ร้านเขาน่านั่ง ขนมเค้กอร่อยใช่ได้  โต๊ะเก้าอี้ที่นี่ส่วนใหญ่ทำจากไม้
ร้านจึงดูอบอุ่น เป็นกันเองไม่ต้องตกแต่งมาก

เดินเที่ยวชมบรรยากาศกลางคืนที่วังเวียงกัน ให้คุ้มกับที่นั่งรถมาไกลแล้ว ก็ถึงเวลาเข้าที่พักพักผ่อนนอนหลับ มาพักวังเวียงแค่คืนเดียว พรุ่งนี้จะไปไหนกันค่อยว่ากันต่อ

วันรุ่งขึ้นเราว่ารถคันนี้(รถสองแถว) พาไปถ้ำจัง (Tham Chang) ซึ่งอยู่ไม่ไกล น่าจะประมาณ
สองกิโล ขับไปส่งแล้วรอกลับ
คำว่า "จัง" เขาบอกว่าหมายถึง หนาวเย็นจนตัวสั่นอาการ"จัง" จัง มีความหมายอีกอย่างหนึ่งด้วยคือ ในสมัยศตวรรษที่19 ถ้ำนี้ถูกใช้เพื่อเป็นที่หลบซ้อนการปล้นสะดมของชาวจีนฮ่อ คำว่า "จัง" ในที่นี่จึงมีความหมายว่า "อดทน" กลายเป็นชื่อถ้ำ


                                                   สะพานข้ามไปถ้ำจัง
                                                ก่อนข้ามไปต้องซื้อตั๋วที่นี่


                                                      ก่อนเดินขึ้นถ้ำ

ขึ้นบรรไดไปถ้ำ
จากบรรไดมองลงมา

เกือบถึงแล้ว พักเหนื่อย
อีกฝากหนึ่งของถ้ำมีที่ให้ถ่ายวิวไปไกล
ตอนเดินลง
ถ้ำจังนี่ ข้างในถ้ำก็คือถ้ำหินปูนเกิดจากน้ำที่ไหลมาเกาะกันเป็นเวลานานนาน บ้านเราก็มีให้ดู
จริงจริงแล้วหินปูนเหล่านี้เขาไม่ให้จับต้องเพราะมันอาจจะทำให้หินเหล่านี้หยุดการเจริญเติบโต
เพราะเหงื่อของเราจะไปทำให้ทางน้ำที่ไหล ที่ทำให้หินปูนมาเกาะเปลี่ยนทิศทาง และเหงื่อจะทำให้ความแวววาวของหินหมดไป  แต่ที่นี่ยังไม่มีใครห้ามจับและไม่เห็นมีป้ายบอก

ภายในถ้ำอากาศชื้น มีกลิ่นของถ้ำ มีทางเดินและบรรไดที่สร้างขึ้นต้องเดินไปตามทางนั้น น่าจะเป็นบรรไดหินไม่แน่ใจว่าหินอ่อนหรือเปล่าเพราะดูไม่ชัด บรรไดดูสวยงามเวลาถ่ายรูป แต่ตัวเองไม่ชอบเพราะมีความรู้สึกว่ากว่าจะสร้างทางและบรรไดคงต้องทำลายธรรมชาติที่มีมาเป็นเวลานานเสียดายนะต้องใช่เวลานานแสนนานกว่าจะสร้างมาได้ น่าจะปล่่อยให้เป็นทางเดินตามธรรมชาติมากกว่า

สิ้นสุดการเดินทางทางท่องเที่ยวที่วังเวียง เนื่องจากมีเวลาอยู่แค่ 1 คืน จึงเที่ยวได้แค่นี้ต้องเดินทางไปหลวงพระบางต่อ